"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Bookmark and Share
Blognone

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"โบราณคดีไทย-มาเลย์" ความร่วมมือทางวัฒนธรรม สานความเข้าใจ ลดขัดแย้งภาคใต้

วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11528 มติชนรายวัน


"โบราณคดีไทย-มาเลย์" ความร่วมมือทางวัฒนธรรม สานความเข้าใจ ลดขัดแย้งภาคใต้


โดย พนิดา สงวนเสรีวานิช




(บน) หม้อสามขายุคก่อนประวัติศาสตร์ พบที่นครศรีธรรมราช (ขวา) โมเดลสถาปัตยกรรมยุคแรกๆ ของเมืองเคดาห์ มาเลเซีย

ข่าว คราวความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะเรียบร้อยลงได้แม้จะเป็นเวลานานแล้วก็ตาม ทำให้หลายๆ คนเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวอาจเกี่ยวพันไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ดินแดนปลายด้ามขวาน-คาบสมุทรมลายู

แต่ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่ สงบนี้ การติดต่อค้าขาย ไปมาหาสู่ ท่องเที่ยวกันระหว่างคนสองประเทศยังเป็นไปอย่างคึกคัก อีกทั้งในการศึกษาวิจัยด้านงานโบราณคดี ณ ปัจจุบันก็ดำเนินการไปอย่างราบรื่นเช่นกัน

ปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่าน มา อีกโครงการความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซีย เกิดขึ้น ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่โรงแรมพูลแมน โดยสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน โครงการสัมมนานานาชาติ ด้านโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ และการอนุรักษ์ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ และการอนุรักษ์ ให้เกิดประสิทธิผล โดยได้เชิญวิทยากรชาวต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาบรรยายให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้านโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ และการอนุรักษ์ รวมทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจอันดีและสัมพันธภาพในการติดต่อประสานงาน ระหว่างนักวิชาการไทยกับต่างประเทศ มีผู้เข้าร่วมประชุมราว 200 คน

"โครงการ ร่วมโบราณคดีไทย-มาเลเซีย" เป็นโครง การร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เกิดขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปเปิดพิพิธ ภัณฑสถานแห่งชาติ สตูล เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543 มีพระราชกระแสรับสั่ง ใจความว่า

ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียมี พรมแดนใกล้ชิดกัน มีความสัมพันธ์และสร้างสรรค์วัฒนธรรมและสังคมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ และสืบเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏหลักฐานเป็นเอกสารและสิ่งก่อสร้าง ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของผู้คนทั้งสองดินแดนในอดีต แต่สิ่งเหล่านี้ยังมิได้มีการตรวจสอบ ศึกษาค้นคว้า เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐานอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยชัดเจนแต่อย่างใด

ใน ปีงบประมาณ 2552 สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้จัดงานสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "องค์ความรู้ด้านโบราณคดีไทย-มาเลเซีย" ขึ้น เพื่อทำการศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบและบริหารจัดการหลักฐานทางโบราณคดีใน พื้นที่ประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และพื้นที่ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และนำผลไปสู่การวิจัยในอนาคตร่วมกัน

(จาก ซ้าย) พระโพธิสัตว์ดินเผา พบที่บูจังแวลเลย์ มาเลเซีย, เขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร และ รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร



เขม ชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร อธิบายว่า การจัดงานสัมมนาทางด้านโบราณคดีไทย-มาเล เซีย ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ต่อจากครั้งที่แล้วซึ่งจัดไปเมื่อ 5 ปีก่อน ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

การ สัมมนาครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซีย และเป็นการร่วมมือในเชิงวิชาการ ซึ่งที่ผ่านมาแม้เราจะได้ทำงานร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้เน้นในเชิงวิชาการ ซึ่งถ้ามองในสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ทางภาคใต้ของไทยมีแนวสันเขาทั้งเทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขานครศรีธรรมราช เทือกเขาบรรทัด และเทือกเขาสันกาลาคีรี เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลายสาย ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความสำคัญของการตั้งถิ่น ฐานของมนุษยชาติ

ขณะ เดียวกัน การเป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่าง 2 อารย ธรรมใหญ่ คืออารยธรรมจีนและอินเดีย เป็นพื้นที่ของการค้า และการเผยแผ่ทางศาสนา จึงพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย ตั้งแต่กระบุรี ตะกั่วป่า กระบี่ ตรัง ลงมาจนถึงตอนใต้ของสตูล

"พื้นที่ตรงนี้ศักยภาพมีแหล่งโบราณคดีมาก มาย ซึ่งสามารถที่จะศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีของมาเลเซียได้ เช่นที่ บูจัง แวลเลย์ หุบเขาที่เคดาห์ ประเทศมาเลเซีย"

รองเขมชาติ บอกอีกว่า จากการทำงานโบราณคดีของไทยที่ผ่านๆ มา พบร่องรอยการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องมายาวนาน อย่างที่กระบี่ ซึ่งภูมิประเทศเป็นหุบเขา เป็นถ้ำหินปูน หรือทางฝั่งตะวันออก เช่น ที่นครศรีธรรมราช เจอหม้อสามขา ระนาดหิน กลองมโหระทึก แล้วยังมีเจอที่ไชยา (สุราษฎร์ธานี) เขาสามแก้ว (ชุมพร) จะนะ (สงขลา) เหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับภายนอก อาจจะเชื่อมโยงกับทางเวียดนามไปจนถึงทางตอนใต้ของจีน ทั้งยังพบว่ามีการเข้ามาของมนุษย์รุ่นแรกๆ ราว 300 ปีก่อน คริสตกาล

"เรา ไม่ได้มองแค่ในอดีต แต่มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการสืบทอดต่อเนื่อง อย่างที่ มะละกา ได้เป็นมรดกโลก เห็นได้ชัดว่าเขามีการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยโปรตุเกสเข้ามา มีการสร้างป้อมปราการ และต่อมาชุมชนจีนก็มาสร้างเป็นชุมชนทางการค้า ปีนังก็เหมือนกัน ซึ่งเมื่อมามองทางฝั่งของไทยก็มี อย่างที่พังงา ภูเก็ต เรามีอาคารแบบชิโนโปรตุกิส นี่คือความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น และรวมถึงการเชื่อมโยงทางด้านโบราณคดี

"อย่างมาเลเซีย แหล่งโบราณคดีที่สำคัญคือ ที่ บูจัง แวลเลย์ เจอชิ้นส่วนของพระพิมพ์ พระพุทธรูป แก้ว รูปสัตว์ก็เจอ แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3-4 เป็นการตั้งถิ่นฐานยาวนาน และสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม มีแม่น้ำที่สามารถเดินเรือเข้าไปข้างในได้ มีอ่าวจอดเรือ"



รอง เขมชาติบอกอีกว่า เราเริ่มทำวิจัยร่วมกันเมื่อปีที่ผ่านมา โครงการ 3 ปี และจะต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยเริ่มที่เรื่องหม้อสามขา ซึ่งพบในหลายส่วนของไทย รวมทั้งพบตามถ้ำต่างๆ ของมาเลเซีย ก็จะมาดูว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร

"ต้องยอมรับว่ามาเลเซีย มีวัฒนธรรมที่โดดเด่นอยู่แล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ เพราะมาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านและผูกพันกันมานาน เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยกประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาพูดกัน"

ทางด้าน รศ.สุรพล นาถะพินธุ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับทางมาเลเซียว่า นานหลายปีแล้วตอนนั้นสำนักโบราณคดีของกรมศิลปากรเป็นเจ้าของเรื่องทำโครงการ ร่วมกับนักโบราณคดี โดยผ่าน "กรมพิพิธภัณฑ์และโบราณคดี" ของมาเลเซีย ตั้งชื่อว่า "โครง การโบราณคดีไร้พรมแดน" มีนักวิชาการจากไทยและมาเลเซียมาประชุมร่วมกัน และยังมีความร่วมมือในโครงการวิจัย ชื่อ "โครงการศึกษาความเชื่อมโยงของวัฒนธรรมท้องถิ่นสมัยอดีตถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณบนพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงและคาบ สมุทรมลายา" ซึ่งได้รับการสนับ สนุนเงินทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

อาจารย์สุรพล เล่าถึงงานด้านโบราณคดีของประ เทศเพื่อนบ้านที่อยู่ปลายด้ามขวานว่า มาเลเซียมีการศึกษาวิจัยงานด้านโบราณคดีมานานแล้ว ตั้งแต่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยซ้ำ เพียงแต่เราไม่ค่อยรู้จักงานของเขาเนื่องจากมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา

"งาน ด้านโบราณคดีของมาเลเซียทำในระดับท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ มีบางแห่งไม่กี่ชิ้นที่เป็นระดับโลก อย่างการค้นพบกะโหลกศีรษะของโฮโมเซเปียนรุ่นแรกในถ้ำนีอาห์ มีการเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ ทางหนังสือวารสาร ซีดี ฯลฯ เพียงแต่เราไม่สามารถที่จะอ่านข้อมูลทางวิชาการของเขาได้เพราะเขียนเป็นภาษา มลายู"

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทางมาเลเซียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานด้านโบราณคดี จาก "กรมพิพิธภัณฑ์และโบราณคดี" ที่เคยรับผิดชอบงานด้านโบราณคดีทั้งหมด พอปรับเป็น "กรมมรดกวัฒนธรรม" ก็หันมาเน้นเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานและแหล่งมรดกวัฒนธรรม ส่วนงานด้านค้นคว้าวิจัยโอนไปให้กับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์มาเลเซีย (University of Science, Malaysia หรือ Universiti Sains Malaysia-USM) ที่ปีนัง โดยนอกจากจะส่งเสริมให้จัดตั้งศูนย์ศึกษาโบราณคดี ยังสนับสนุน งบประมาณก้อนโตเพื่อให้พัฒนางานทางโบราณคดี ในฐานะ "ศูนย์วิจัยโบราณคดีโลก"

"มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์มาเลเซียได้รับงบ ประมาณจากรัฐบาลมาก้อนใหญ่มากๆ ให้ศึกษาค้นคว้าร่องรอยทางวัฒนธรรมที่ บูจัง แวลเลย์ เพื่อใช้ในการพัฒนาพื้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา ให้เงินขุดค้นต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว และจะทำต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี เตรียมพัฒนาเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไปจนถึงศูนย์ส่งเสริมเพื่อการศึกษา วัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำ"

ในส่วนของความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซียนั้น อาจารย์สุรพลบอกว่า ที่ผ่านมากรมศิลปากรก็ร่วมมือกับมาเลเซียมาตลอดในระดับหนึ่ง ขณะที่มหา วิทยาลัยศิลปากรก็มีความร่วมมือในระดับหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ทำเป็นโครงการศึกษาวิจัยร่วมกัน แต่เรามีการแลกเปลี่ยนบุคลากร แลกเปลี่ยนข้อมูล มีการประชุมสัมมนามาโดยตลอด

"ผม ว่าเป็นสิ่งจำเป็น ไทยกับประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างที่จะทำการวิจัย แลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างเปิดเผย คือเปิดเผยต่อสาธารณะด้วย และเผยแพร่ต่อสาธารณะทั้งหมด เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน พูดเรื่องเดียวกัน อย่างที่ผมทำจะเป็นความสัมพันธ์ในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเข้าใจระหว่างเรากับประเทศเพื่อนบ้านได้"

สำหรับ อุปสรรคในการทำงานร่วมกันนั้น อาจารย์สุรพลบอกว่า หลักๆ จะเป็นอุปสรรคที่ตัวบุคคล การจัดเวลาวิจัยให้ตรงกันระหว่างสองฝ่าย เพราะต่างคนต่างก็มีภารกิจประจำ และเรื่องทุนวิจัย ซึ่งของเราเรื่องทุนวิจัยทางศิลปวัฒนธรรมมีค่อนข้างน้อย

"อุปสรรคในเชิงพรมแดนไม่เคยมี เวลาเราจะเก็บข้อมูลในบ้านเขา เราก็ประสานงานผ่านนักวิชาการในประเทศ เขาก็อำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี"

ไหนๆ ก็มีการไฟเขียวในระดับจี-ทู-จี แล้ว ถ้าเรามีผู้รู้ภาษามลายูเข้าไปอยู่ในทีมทำวิจัยร่วม

น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเปิดประตูความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านอีกทางหนึ่ง


หน้า 20

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com