"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Bookmark and Share
Blognone

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ปาฐกถาศิลป์ พีระศรี 2552 "สาระสำคัญในงานจิตรกรรมไทยประเพณี"

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11517 มติชนรายวัน


จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ปาฐกถาศิลป์ พีระศรี 2552 "สาระสำคัญในงานจิตรกรรมไทยประเพณี"


โดย ชมพูนุท นำภา




15 กันยายนของทุกปีเป็น "วันศิลป์ พีระศรี" มหาวิทยาลัยศิลปากรจะมีธรรมเนียมปฏิบัติเป็นการจัดงานวันศิลป์ พีระศรี และมีปาฐกถาพิเศษ โดยผู้ทรงความรู้ในชื่อปาฐกถาศิลป์ พีระศรี ปีนี้เป็นครั้งที่ 14 แล้ว

ผู้เป็นองค์ปาฐกคนสำคัญของปีนี้ อาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์ ปาฐกถาในหัวข้อ "สาระสำคัญในงานจิตรกรรมไทยประเพณี"

ก่อน เริ่มงานในห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่วังท่าพระ ผู้คนล้นหลามเก้าอี้ไม่พอนั่ง มีสูจิบัตรแจกฟรีให้ผู้เข้าร่วมฟังด้วย ซึ่งปรากฏว่าสูจิบัตรไม่พอแจกเพราะคนต้องการมีมากกว่าจำนวนที่จัดพิมพ์

ใครไม่ได้ก็น่าเสียดายแทน

เริ่ม รายการบนเวที อาจารย์จุลทัศน์กล่าวถึงงานจิตรกรรมไทยประเพณีว่า เพิ่งมีมา 20 ปีก่อนหน้านี้ ประเพณีเป็นได้ทั้งลักษณะนามธรรม และรูปธรรม งานจิตรกรรมไทยประเพณีมีความสำคัญเป็น "มรกดทางศิลปกรรม" ของชาติ เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาและภาคภูมิใจ เป็นหลักฐานแสดงความอารยะของสังคมสยาม

แต่ ความภูมิใจที่ได้ฟังกันมาปากต่อปาก โดยไม่เข้าใจสาระสำคัญในงานก็จะเสียโอกาสได้รับสิ่งที่ดีๆ เพื่อจรรโลงชีวิตและเพิ่มคุณค่าแก่ตนเอง

ดังนั้น จึงต้องรู้จักสาระสำคัญในการสร้างงานจิตรกรรมไทย ว่าจะเป็นเรื่องราวในพุทธศาสนาทั้งนั้น และอยู่ตามฝาผนังในศาสนสถานต่างๆ ซึ่งสมัยหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปรารภเหตุของการเขียนรูปภาพตามวัด

ว่ารูปเขียนนั้นนอกจาก "งาม" แล้วต้องมี "ธรรมะ" อยู่ในนั้นด้วย

และ ความประสงค์ใช้รูปภาพจิตรกรรมก็เพื่อเป็นเครื่องล่อให้ผู้คนเกิดความสนใจดู ชมรูปภาพจิตรกรรมซึ่งเป็นของงาม แล้วรับรู้และเข้าใจสาระแห่งธรรมอันมีอยู่ในเรื่องราวที่พรรณนาด้วยรูปภาพ งามๆ นั้น

ฉะนั้น รูปลักษณ์ในงานจิตรกรรมไทยประเพณีจึงมีรูปลักษณ์ปรากฏเป็นมาโดยคติความเชื่อ และภูมิปัญญา ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้



ประการ แรก เป็นรูปภาพที่สร้างขึ้นบนพื้นที่อันว่างเปล่า ด้วยการใช้เส้น เขียนเส้นกั้น หรือล้อมพื้นที่บริเวณว่างนั้นขึ้นเป็นรูปร่าง หรือ รูปลักษณ์ของสรรพสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างที่เรียกว่า "รูปร่างปิด" ทำให้เกิดเป็นภาพพื้นที่ส่วนย่อยทับอยู่บนพื้นที่ส่วนใหญ่

ประการที่สอง เป็นรูปลักษณ์ที่ไม่เป็นตามธรรมชาติ หรือตามจริง ซึ่งยากแก่การที่คนทั่วไปจะเข้าใจ แม้ชาวต่างประเทศเองก็ตาม

อาจารย์ จุลทัศน์เล่าถึงตัวอย่างเมื่อสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย แล้วเห็นภาพจิตรกรรมไทยประเพณี ก็รู้สึกกังขา และได้แสดงทัศนคติต่อรูปภาพจิตรกรรมไทยประเพณีไว้ในจดหมายเหตุของเขา ว่า- -

"ใน อุโบสถหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม สีที่เขียนไว้นั้นจัดมาก ไม่มีสัดส่วนเหมาะสมกับรูปคน รูปบ้าน รูปต้นไม้จริงๆ ทำให้ระลึกไปถึงภาพลายพรมในสมัยเก่าๆ ของเราขึ้นมาได้...

"ชาว สยามกับชาวจีนไม่รู้จักวาดภาพสีน้ำมัน แล้วก็เป็นช่างเขียนฝีมือเลวอยู่ด้วย รสนิยมพวกเขาอยู่ที่ว่าภาพเหมือนนั้นเขียนง่ายเกินไป (ไม่สมกับเป็นช่างวาด) ซึ่งถ้าจะทำกันจริงๆ แล้วก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร ชาวสยามจึงเสริมสิ่งวิจิตรพิสดารลงในภาพวาด ดังที่พวกเรา(ฝรั่งเศส) พอใจเสริมสิ่งพิศวงเกินจริงลงในกาพย์กลอนของเรา ฉะนั้น เขาประดิษฐ์คิดเขียนต้นไม้ ดอกไม้ นกและสัตว์อื่นๆ ซึ่งไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลก ลางทีเขียนรูปคน ก็จัดอิริยาบถให้อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ และความลับในข้อนี้ก็คือ เขียนสักแต่จะเอาง่ายเข้าว่า เพื่อให้ดูคล้ายของจริงเท่านั้น นี้แลคือเรื่องที่เกี่ยวแก่วิชาช่างของชาวสยาม..."

ทัศนคติของลาลูแบร์นั้น อาจารย์จุลทัศน์อธิบายว่า เพราะคนไทยเขียนรูปเป็นนามธรรมแต่โบราณและยังเป็นอยู่ ไม่ได้เขียนรูปแบบสัจนิยม



"บรรดา รูปภาพซึ่งได้รับการเขียนขึ้นเพื่อแสดงพฤติกรรมของบุคคลที่สมมุติขึ้น และลำดับเรื่องนั้น เป็นสมมุติบุคคลให้เหมาะสมกับเรื่องราวที่นำมาเขียนขึ้นเป็นรูปภาพนั้น การสร้างรูปลักษณ์เป็นรูปภาพมนุษย์ สัตว์ บ้านเรือน หรืออื่นๆ แม้ดูจะไม่เหมือนจริงตามธรรมชาติ แต่บรรดารูปลักษณ์ที่ปรากฏในงาน ยังคงอาศัยโครงสร้างของรูปร่างสรรพสิ่งจริงตามธรรมชาติเป็นพื้นฐานเบื้องต้น แล้วลด ตัด ลัด ทอน ให้เกิดลักษณ์อย่าง นวลักษณ์คือ รูปใหม่ ที่มีความเรียบง่ายเป็นพื้น แล้วผนวกด้วยคตินิยมด้าน สุนทรียรูป ที่เป็นขนบนิยม"

อาจารย์ยังบอกอีกว่า รูปภาพสิ่งต่างๆ ในงานจิตรกรรมไทยประเพณี แลดูคล้ายกระดาษตัดทำเป็นรูปร่างสิ่งต่างๆ เป็นรูปภาพที่เขียนแสดงอย่างรูปร่าง ไม่ใช่อย่างรูปทรง จึงมีความจำกัดเพียง 2 มิติ คือความกว้าง และความสูงเท่านั้น

"สาระ สำคัญอีกอย่าง คือรูปภาพจิตรกรรมไทยประเพณี จะไม่แสดงกาลเวลา กลางวันหรือกลางคืน และขนบในการสร้างรูปภาพรูปคน ยักษ์ จะได้รับการสร้างขึ้นเป็นรูปแบบอย่าง พิมพ์เดียวกัน รูปภาพยักษ์ก็จะเขียนเฉพาะภาพใบหน้าให้มีรูปแบบเป็นอย่างพิมพ์เดียวกัน ยังมีสาระสำคัญควรสังเกตอีก คือรูปแบบใบหน้าของมนุษย์ก็ดี อมนุษย์ก็ดี แม้ใบหน้ามีขนาดเล็ก แต่ก็อาจแสดงออกความรู้สึกของเจ้าของใบหน้าให้เห็นได้ ดังรูปภาพใบหน้ามนุษย์ ย่อมแสดงกิริยาแย้มยิ้มอยู่บนใบหน้า หรือรูปภาพอมนุษย์ ดังใบหน้ายักษ์ ได้รับการเขียนให้มีกิริยาโกรธขึ้งอยู่กับใบหน้า เป็นการแสดงความรู้สึกที่แสดงออกถาวรสำหรับรูปแบบเดียวกัน"

เกี่ยว กับสาระสำคัญนี้ อาจารย์จุลทัศน์แทรกเรื่องตลกขำขันของมัคคุเทศก์นำเที่ยวที่พบกับตัวเองว่า มัคคุเทศก์พาฝรั่งมาดูภาพจิตรกรรมแล้วฝรั่งถามว่าทำไมหน้าตาจึงเหมือนกันหมด ด้วยความไม่เข้าใจมัคคุเทศก์บอกฝรั่งว่า "ยูรู้ไหมว่ายักษ์นามสกุลเดียวกันหน้าตาเลยเหมือนกันหมด ส่วนมนุษย์ก็นามสกุลเดียวกันเป็นญาติพี่น้องกัน หน้าเลยเหมือนกัน ฝรั่งพยักหน้าบอก ไอซีๆ แล้วเดินหน้าเมื่อยต่อไป"

อีกสิ่งหนึ่งที่จะ ดูภาพจิตรกรรมไทยประเพณีให้เพลิดเพลิน ต้องเข้าใจด้วยว่าภาพมนุษย์และอมนุษย์ ได้รับการสร้างขึ้นด้วยการ "บิดผัน" อวัยวะส่วนสำคัญ ดังใบหน้า ลำตัว แขน ขา เป็นต้น ให้ขนานไปกับระนาบของพื้นภาพทางด้านขาวบ้าง ซ้ายบ้าง แต่จะไม่ปรากฏรูปภาพเขียนยื่นแขนหรือขาตรงออกมาจากพื้นระนาบนั้นเลย

โดย สรุปแล้วอาจารย์จุลทัศน์บอกว่า งานจิตรกรรมไทยประเพณีที่มีรูปลักษณ์อย่างที่เป็นอยู่นี้ เพราะคนโบราณเขาให้ความสำคัญของทุกสิ่งในพื้นภาพเท่ากัน

"เขาดูภาพ เหมือนกับการอ่านหนังสือ หน้ามองตรงไปข้างหน้าเห็นทุกอย่างเท่ากันหมด ไม่มีว่าข้างบนสุดบรรทัดเล็กแล้วค่อยๆ ไล่ลงมาเป็นตัวใหญ่"

อาจารย์ จุลทัศน์บอกว่า จิตรกรรมประเพณีที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เพราะคนไทยเป็นคนที่เคารพในขนบนิยม ไม่นอกครู เป็นแบบแผนที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงสืบสานมาเป็น 100 ปี

"งานจิตรกรรมไทยประเพณีที่มีมาแต่อดีต เป็นทั้งมรดกทางศิลปกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ ประหนึ่งตำราเล่มสำคัญ กระนั้นก็ตามขุมทรัพย์แห่งปัญญานั้น กลับถูกทอดทิ้งไว้ภายในตู้ไทยลายทอง ที่พึงชมดูแต่ลายทอง โดยมิได้เปิดตู้เพื่อสัมผัสขุมทรัพย์แห่งปัญญาในการสร้างสรรค์งาน.."

อุปมา ว่าแม้มีตำราอันเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญา ถ้าไม่เปิดอ่านหาความรู้ที่อยู่ภายในเล่มให้เต็มกำลัง แต่กลับชมดูเพียงปกซึ่งเป็นเพียงเปลือกห่อหุ้มขุมทรัพย์แห่งปัญญาอันบรรจุ อยู่ในตำรานั้น ก็น่าเสียดายโอกาสยิ่ง


หน้า 20

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com