สร้างรถไฟฟ้าเตรียมหาแหล่งเงิน นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐ ทำให้กทม.ปรับลดงบประมาณรายจ่ายปี 2553 ลง 10% โดยจะตั้งไว้ที่ 40,000-41,000 ล้านบาท ต่ำกว่างบปี 2552 ที่ตั้งไว้ 46,000 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทำโครงการใหม่ได้ ขณะที่มีโครงการขนาดใหญ่อย่างส่วนต่อขยายรถเมล์ด่วนพิเศษชิดเกาะกลางหรือบีอาร์ที 5 สาย ก็จะถูกชะลอไปเช่นกัน ซึ่งนอกจากปัญหาเรื่องการขาดงบประมาณแล้ว อยากให้โครงการสายแรก จากช่องนนทรี-ราชพฤกษ์ ระยะทาง 15.9 กม. เปิดให้บริการก่อนเพื่อดูผลว่าแก้ไขปัญหาการจราจรได้มากน้อยเพียงใด ส่วนที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.ได้มอบหมายให้รวบรวมรายละเอียดโครงการบีอาร์ที พร้อมปัญหาอุปสรรคทั้งหมด โดยเฉพาะประเด็นที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เข้าตรวจสอบเพื่อที่คณะผู้บริหาร กทม.จะเข้าพบหารืออย่างเป็นทางการกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้โครงการเดินหน้าสถานีไม่ถูกทิ้งร้างเป็นอนุสรณ์สถานนั้น จะรอให้ร่างแก้ไขข้อบัญญัติ กทม. เพื่อให้สถานะของกรุงเทพธนาคมชัดเจนก่อน เพื่อไม่ไห้มีปัญหาใด ๆ เพราะบริษัทต้องเข้ามาบริหารบีอาร์ที จากนั้นจะเข้าพบอธิบดีดีเอสไออย่างเป็นทางการขอแนวทางให้โครงการเดินหน้าได้ นายธีระชน กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากอ่อนนุช-แบริ่ง และจากตากสิน-เพชรเกษมนั้น เป็นโครงการที่ กทม.ตั้งงบผูกพันไว้แล้ว สามารถเดินหน้าได้ ส่วนโครงการที่เหลือเช่นจากหมอชิต-สะพานใหม่ ที่กทม.เสนอ ครม.ขอคืนกลับให้ กทม.ก่อสร้างนั้น หาก ครม.เห็นชอบ กทม.ก็สามารถเดินหน้าได้เช่นกันโดยจะเจรจาหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ หรือเจรจากับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือบีทีเอสที่พร้อมจะลงทุนก่อสร้างเอง ไม่ให้เป็นภาระในการกู้เงินหรือของบสนับสนุนจากรัฐบาลในขณะที่รัฐบาลขาดแคลนงบประมาณในขณะนี้ เพราะรถไฟฟ้าแก้ไขปัญหาการจราจรได้ดีที่สุด. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น