จากประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี ทั้งผู้วางกลยุทธ์ และนำทีมในการให้คำปรึกษาและติดตั้งโซลูชั่นเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจให้แก่ลูกค้าองค์กรชั้นนำมาแล้วหลายราย และเคยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการด้านที่ปรึกษาในกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมีความเชี่ยวชาญเรื่องระบบไฟแนนซ์ ล่าสุด กาญจนา ลิ้มปัญญาเลิศ ในฐานะที่ปรึกษาด้านโซลูชั่นสำหรับธุรกิจมาช่วยสร้างความสำเร็จ และเติบโตให้แก่บริษัท ไอซีอี คอนซัลติ้ง จำกัด เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านบริหารโครงการวางระบบจัดการทรัพยากรองค์กร จึงทำให้นั่งในตำแหน่ง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไอซีอี คอนซัลติ้ง จำกัด ส่วนคำตอบ วิธีการ และมุมมองต่อธุรกิจในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เชิญติดตามได้แล้ว ณ บัดนี้... IT Digest : ที่มาของ บริษัท ไอซีอี คอนซัลติ้ง จำกัด กาญจนา : ก่อตั้งเมื่อปี 2544 เริ่มด้วยการเป็นคู่ค้ากับบริษัท ออราเคิล ประเทศไทย แต่ก่อนออราเคิล ตั้งอยู่ในประเทศไทยปี 2533 เป็นใช้วิธีการขายตรงมาตลอด พอมาปี 2538 เริ่มเป็นโมเดลของคู่ค้าออราเคิล จึงเป็นคู่ค้ามาตั้งแต่ตอนนั้น ขณะที่ 2544 เป็นเต็มตัว ในรูปแบบ เริ่มจากเล็กๆ ก่อนและโตขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรก ช่วง 2-3 ปีแรกเป็นช่วงตั้งไข่ก็ยากหน่อย แต่หลังจากนั้นก็เติบโตได้ดี ประมาณ 30-40% ทุกปี ตั้งแต่ปี 2547 จะมีปี 2551 ที่เติบโตมาก จากปี 2550 ยอดขายอยู่ที่ 115-116 ล้านบาท ปี 2551 อยู่ที่ 260 ล้านบาท เติบโตมาก IT Digest : ปัจจัยที่ทำให้บริษัทเติบโตขณะที่บริษัทรายอื่นชะลอตัวลง กาญจนา : คิดว่าประสบการณ์จากคนของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจนี้ สามารถให้คำแนะนำลูกค้าได้ เพราะฉะนั้น กราฟที่มีน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญคือ โดยวิธีการทำงานของบริษัทเอง ต้องควบคุมงานและดำเนินการให้ได้ เพราะบางครั้งการทำโครงการ ต้องมีอุปสรรคบ้าง แต่บริษัทต้องพยามดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายไปให้ได้ จึงคิดว่าจุดนี้น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เติบโตได้ IT Digest : เปิดบริษัทปี 2540 ทั้งที่เป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ และคนไทยกลัวมาก กาญจนา : จริงๆ แล้วย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ยังมีบริษัทอีกมากที่ยังไม่มีซอฟต์แวร์บริหารจัดการทรัพยากรองค์กร หรืออีอาร์พีใช้ ขณะเดียวกัน คนที่สาหัสหนักๆ คือ กลุ่มที่อยู่ในบริการทางการเงิน ประกอบด้วย กลุ่มธนาคาร และพวกที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ธุรกิจที่มีความแข็งแรงในของตัวเองที่มีแผนการผลิตเป็นของตัวเอง มีผลิตภัณฑ์ ยังมีความแข็งแรงอยู่ แล้วธุรกิจไหนที่ต้องกู้เงินจากต่างงประเทศปี 2540 ยังไม่กระทบ และยิ่งธุรกิจส่งออกค่อนข้างดี เพราะช่วงนั้นค่าเงินทำให้ได้กำไร ยังมีทำการตลาดมาก ดังนั้นจึงมองว่าเป็นโอกาสดีที่ตั้งบริษัท และลงมือทำอย่างจริงจัง IT Digest : รูปแบบการดำเนินงานทางธุรกิจ กาญจนา : ถ้ามองในเรื่องบริหารจัดการเป็นเรื่องของความตั้งใจที่บริษัทต้องการเป็นบริษัทคนไทย ถือหุ้นโดยคนไทย แต่ต้องการคุณภาพแบบอินเทอร์เนชั่นแนลเฟิร์ม ดังนั้น จึงต้องพัฒนา สร้างองค์กร และคนขึ้นมา ให้มีรูปแบบอย่างที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม รูปแบบการบริหารจัดการบริษัท สร้างคนค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ลักษณะของคนที่เข้ามาที่บริษัท ไม่ใช้วิธีการดึงตัว ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาทำงานกับบริษัท จะมีประสบการณ์มาจากการทำงาน บริษัทมองว่าถ้าบริษัทให้ ก็จะได้รับคืนกลับมา โดยใช้เวลานานมากเพราะอย่างน้อย 1 คน อยากจะให้ได้อย่างที่บริษัทต้องการ ระดับมาตรฐานต้องอย่างน้อย 2 ปี ขณะนี้มีพนักงานอยู่ จำนวน 60 คน จะมีคนที่ทำงาน หลังบ้านเป็นแอดมิน 7 คน ถ้าเป็นคนทำงานหน้าบ้านก็ประมาณ 50 คนได้ สำหรับแผนที่รับเพิ่มปี 2552 นี้ ค่อนข้างระมัดระวังตัวพอสมควร จากสภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ยังไม่มีแผนรับคนเพิ่ม แต่ก็ยังไม่มีแผนเอาคนออกเช่นกัน ขณะเดียวกัน บริษัทดูสถานการณ์ควบคู่กันไปด้วยมากกว่า เช่นช่วงต้นปี 2552 วางแผนถึงปลายปี มีโครงการที่ทำ จึงรับคนเพิ่มแล้ว ประมาณ 3-4 คน IT Digest : กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ กาญจนา : ต้องบอกว่าบริษัทไม่เน้นที่ความพึงพอใจของผู้บริโภค จะหมายถึงทุกอย่าง งานที่มีคุณภาพ ส่งงานให้เข้าได้ตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งในองค์กรประกอบกับความพึงพอใจของลูกค้า ทั้งนี้มอง ออราเคิล เป็นคู่ค้าหลัก คนที่อยู่ในธุรกิจต่างๆ และเน้นคู่ค้าในส่วนองค์กร ที่มีความเข้มแข็ง แสดงว่าคู่ค้าแต่ละราย ที่ต้องไปร่วมด้วยต้องกรองเป็นพิเศษระดับหนึ่งแล้ว ต้องมองว่าจะเสริมกันอย่างไรด้วย IT Digest : บริษัท มีจุดเด่นเรื่องบริการหลังการขายอย่างไรบ้าง กาญจนา : ถ้าพูดถึงคู่ค้าอย่างออราเคิลแล้ว บริษัทจะเป็นทีมที่มีผู้สนับสนุนหลังบ้าน ที่อื่นอาจจะมีด้วย แต่ของบริษัทเอง จะมีทีมที่ดูแลหลังการขายโดยเฉพาะ โดยจะเข้าไปดูแลลูกค้าโดยตรง นอกจากจะมีการคุยกัน อย่างลูกค้าบางรายจะมีการเสนอบริการหลังการขายเป็นบริการให้ลูกค้า โดยจะมีข้อตกลงร่วมกันแตกต่างกันออกไป ขณะดียวกัน ลูกค้าบางราย อาจจะไม่ได้มีตรงนั้น IT Digest : ตั้งเป้าเติบโตปี 2552 อยู่ที่เท่าไร กาญจนา : ยังตั้งเป้าเติบโตอยู่ที่ 30% จากเดิมปี 2551 ที่ผ่านมา แต่ต้องดูช่วงกลางปีต่อไปด้วยว่าจะถอยหรือไม่ เพราะบริษัทมีโครงการอยู่ในมือประมาณไตรมาส 3 IT Digest : ช่วงนี้เป็นช่วงที่หน่วยงานราชการใช้เงิน ทางบริษัท วางแผนเข้าไปร่วมมืออย่างไรบ้าง กาญจนา : ก็มีอยู่บ้าง ในกลุ่มหน่วยราชการที่เข้ามาเป็นคู่ค้า ขณะนี้ ยังมีงานอยู่ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งกระทรวง กรม โดยแบ่งเป็นสัดส่วนปัจจุบัน ภาคเอกชนมี 90% ราชการและรัฐวิสาหกิจ10% เนื่องจากงานราชการจะเริ่มออกมาตั้งช่วงต้นปี แต่กว่าจะนำเสนอเรื่องได้ งานจะเกิดช่วงปลายปี ทำให้ธุรกิจช้าลงบ้างเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงมองเห็นสัดส่วนอย่างที่กล่าวไป IT Digest : ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่ม ในสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่ กาญจนา : บริษัทยังมีการลงทุนในภาคเอกชนอยู่ในมือ โดยเฉพาะในธุรกิจเกษตร ในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องอุปโภค อย่างไรก็ตาม เป็นธุรกิจของการต่อยอดมากกว่า อย่างตอนนี้มีหลายองค์กรที่เริ่มมองหาพวกการจัดการเกี่ยวกับบุคลากร การจัดการเกี่ยวกับบุคลากร เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นอาจมีการคำนวน หรือไม่ได้รับคนเพิ่มเหมือนอย่างแต่ก่อน ดังนั้นจึงต้องพยายามจัดการคนที่มีอยู่ในองค์กร โดยเริ่มมองเทคโนโลยีเข้ามาช่วยว่ามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน แล้วจะปูพื้นฐานคนยังไง IT Digest : มุมมมองการทำโซลูชั่นไอทีของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง กาญจนา : ขณะนี้มองเป็นเรื่องการต่อยอดกับสิ่งที่ลูกค้ามี คือถ้าพูดถึง อีอาร์พี ในส่วนนี้ค่อนข้างจะมีมาก จึงมองส่วนที่เข้าไปช่วยต่อยอด มองเรื่องซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวกับเรื่องของบุคลากร หรือมองด้านความหยั่งรู้ทางธุรกิจ การที่นำข้อมูลขึ้นมาวิเคราะห์ ขึ้นมาใช้งานได้มากขึ้น รวมถึงที่เป็นการให้บริการน่าจะเข้ามาช่วยองค์กรต่างๆ ได้มาก อย่างไรก็ตาม บริษัท ยังมีการให้คำปรึกษา กับลูกค้า พอลูกค้าสนใจ บริษัท ก็จะเข้าไปคุยก่อนว่า ที่ทำงานอยู่เป็นอย่างไรบ้าง มีอุปสรรคปัญหาอะไร หรือปัจจุบันธุรกิจเติบโตแล้ว แต่สิ่งที่ใช้อยู่ยังไม่เติบโต หลังจากนั้น จะเริ่มมองว่า บริษัทมีโซลูชั่นอะไรอยู่ในมือบ้าง ตรงไหนพอที่จะช่วยลูกค้าได้บ้าง ก็จะประกอบเป็นรูปร่างขึ้นมา และทำเป็นโซลูชั่นเข้าไปนำเสนอ ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าจะแก้ไข หรือเข้ามาเสริมจุดให้เติบโตได้ ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ เรื่องของการเติบโต จากเดิมเป็นบริษัทขนาดเล็กมองภาพรวมที่ยังเล็ก พอเติบโตขึ้นมาจะเห็นว่า ธุรกิจเปลี่ยนรูปแบบ ดังนั้นบริษัทจึงต้องเข้ามาเพื่อเสริมให้แต่ละบริษัททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้าธุรกิจเติบโตขึ้น โซลูชั่นจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น ข้อมูลที่บริษัทจะทำรู้จักลูกค้ามากขึ้น ผู้บริหารเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น นี่คือส่วนที่ลูกค้าต้องการ IT Digest : มองแต่ละปี บริษัทสมควรจะลงทุนด้านไอทีในการรับโซลูชั่นเข้ามาใช้ประมาณเท่าไร กาญจนา : โดยส่วนใหญ่มองเป็นเปอร์เซ็นต์โดยทั่วไปแต่ละบริษัทจะลงทุนอยู่ที่ประมาณ1-2% ของยอดขาย ถือว่าไม่น้อย ยกตัวอย่างถ้ายอดขายมี 1,000 ล้านบาท ก็อยู่ที่ประมาณ10-20 ล้านบาท โดยประมาณ ถ้าเป็อย่างประเทศสหรัฐอเมริการ ในช่วงที่กำลังเติบโตมาก การลงทุนจะอยู่ที่ 1.5% ในประเทศไทยอยู่ระดับใกล้เคียงกัน IT Digest : ทิศทางการลงทุนด้านไอที ทั้งภาครัฐและเอกชน ปี 2552 เป็นอย่างไรบ้าง กาญจนา : ภาครัฐมีความชัดเจนในส่วนที่จะเพิ่มขึ้น ส่วนภาคเอกชน น่าจะลงทุนด้วยความระวัง และเลือกเฉพาะสิ่งที่มีความจำเป็นเท่านั้น จากเดิมที่มีโซลูชั่นหลากหลายเข้ามาช่วย แต่วันนี้มองว่าสิ่งที่มีความจำเป็นกับหน่วยงาน ต้องใช้ และทำเฉพาะตรงนั้น IT Digest : ปัจจัยที่ทำให้ภาครัฐ หันมาลงทุนด้านไอทีเพิ่มขึ้น กาญจนา : ปัจจุบันนี้รัฐต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง และต้องช่วยเศรษฐกิจในภาพรวม เพราะฉะนั้นต้องลงทุนในส่วนเม็ดเงินที่ได้มา ถ้ามองในส่วนภาครัฐในแง่ของไอที ยังมีส่วนที่ต้องทำอีกมาก IT Digest : มุมมองต่อการผลักดันซอฟต์แวร์ไทยของภาครัฐ ในต่างประเทศ กาญจนา : ขณะนี้มองว่า ยังไม่มีความชัดเจนนัก แม้ว่าจะมีเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค แต่การผลักดันตรงนั้นให้เป็นรูปร่าง หรือประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ถ้ามองธุรกิจไอทีมีหลายส่วนมาก แต่ภาครัฐเน้นการสร้างซอฟต์แวร์ โดยเน้นให้คนทำซอฟต์แวร์ แต่ไม่เน้นการนำซอฟต์แวร์ออกมาใช้ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าจะเน้นพัฒนาโปรแกรมเมอร์ แต่ความจริงถ้าให้เสริมการนำซอฟต์แวร์ตัวนี้มาใช้ในธุรกิจ ต้องออกแบบให้สอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าถ้าทำขึ้นจริง ต้องทำให้ครอบคลุม ดังนั้นวันนี้จึงควรเน้นพัฒนาคนที่มีอาชีพอิสระ ไม่ได้รวมเข้ามาสร้างภาพใหญ่ๆ และพัฒนาทุกคนก็จะอยู่ที่ ซอฟต์แวร์ไปเรื่อยๆ เช่น ซอฟต์แวร์สร้างบ้าน ซอฟต์แวร์อาร์พาร์มเม้น เป็นต้น แต่ยังไม่เห็นซอฟต์แวร์คนไทยที่จะมีวิสัยทัศน์แบบนี้นะ พัฒนาออกมาเพื่อคนไทยยังไม่เห็น ขณะเดียวกัน ถ้าผู้พัฒนาซอฟต์แวร์สะท้อนภาพออกมาให้เห็นแล้ว เจ้าของธุรกิจหรือองค์กรจะมีความเชื่อมั่นซอฟต์แวร์ไทย โดยมองที่การวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้ การสร้างไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีวิสัยทัศน์ คนมีฝีมือรวมกันสร้างขึ้นมา คิดว่าทำได้ อยู่ที่ว่าจะบำรุงรักษาได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม อยู่ที่การวิจัยว่ามีทีมงานที่พัฒนาต่อเนื่องได้หรือไม่ ถ้าไม่มียากที่คนจะมีความมั่นใจ เพราะการที่นำซอฟต์แวร์เข้าไปใช้ แต่ละองค์กรจะอยู่กับซอฟต์แวร์นาน ไม่ใช่ปี หรือ 2 ปี อย่างน้อย 5 – 10 ปี เพราะฉะนั้นใครจะให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา เป็นสิ่งที่แต่ละหน่วยงานมองเป็นหลัก ถ้าถามว่าคนไทยเก่งหรือไม่มีส่วนที่เก่งอยู่ แต่ขาดการพัฒนาต่อเนื่อง โอกาสซอฟต์แวร์ไทยเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศก็แทบจะมองไม่ไม่เห็น ยังมีความหวังอยู่เรื่อยๆ แต่ยากขึ้นทุกวัน IT Digest : ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ นำ พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หรือ พ.ร.บ.คอมฯ มาใช้อย่างไรบ้าง กาญจนา : แจ้งให้พนักงานทั้งหมดทราบ ว่ามีพ.ร.บ.ดังกล่าวขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง และให้ทุกคนปฏิบัติตาม ไม่ไปเข้าเว็บไซต์ที่เกิดความเสี่ยง หรือเข้าเว็บ โพสต์ข้อมูล หรือส่งต่อข้อมูลที่ไม่ดี เป็นการดูแลภายใน ส่วนอีเมล ของที่ทำงานก็มอนิเตอร์ดูแลอยู่และพ.ร.บ.คอมฯ เป็นสิ่งที่ดีแล้วมีประโยชน์ น่าใช้คิดว่าต้องดำเนินการอย่างจริงจัง อยู่แค่ตรงนั้นเอง อย่าเป็นแค่เศษกระดาษ เพราะการควบคุมที่ดี ทำให้การแพร่กระจายข่าวสาร เป็นระบบ ระเบียบมากขึ้น IT Digest : บริษัทมีโซลูชั่นใช้ตรวจสอบไม่ให้เข้าเว็บไม่เหมาะสมหรือไม่ กาญจนา : ถ้าเป็นในที่ทำงานจะบล็อกเฉพาะเว็บที่มีความเสี่ยง เท่าที่บริการลูกค้า ส่วนใหญ่จะบล็อกอยู่เพราะจะช่วยเรื่องการทำงานภายในด้วย IT Digest : ความตระหนักถึงการบังคับใช้พ.ร.บ.คอมฯ ของลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง กาญจนา : ส่วนใหญ่ลูกค้าจะตระหนักมาก เพราะว่าบางครั้ง การกระจายข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสมมีผลกระทบต่อองค์กร ทุกวันนี้ แม้กระทั่งอีเมลบริษัทก็จะมีข้อความอยู่ข้างล่างว่า อะไรก็ตามที่เป็นความลับเฉพาะส่งไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอให้ส่งคืน หรือถ้าพนักงานส่งอะไรที่ไม่เหมาะสมไป ก็ขอให้แจ้งกลับมา อย่างไรก็ตาม เท่าที่เห็น ยังไม่เคยมีอีเมลตอบกลับมา ทำให้คิดได้ 2 อย่าง คือ ไม่มี หรือว่ายังไม่มีคนส่งกลับมา ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าบริษัทมีความรอบคอบ แต่มีหลายช่องทางมากกว่า ถ้าพูดถึงชีวิตจริงคนจะมีอีเมล์โดยส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ใช้อีเมล์กลาง IT Digest : ขณะนี้ทิศทางของภัยคุกคาม เป็นลักษณะไหนแล้ว กาญจนา : ถ้าพูดถึการแฮกแอพลิเคชั่นยังน้อยอยู่ ถ้าเป็นแอพลิเคชั่นของบริษัท ระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทจะสูงมาก โซลูชั่นที่เข้ามาจะค่อนข้างสูงมาก เพราะมีทั้งคน ทั้งประวัติ ทั้งเงินเดือน ดังนั้นระบบรักษาความปลอดภัยต้องสูงมาก ส่วนใหญ่ภัยคุกคามจะไปพวกอีเมล์ ทำระบบ และเน็ตเวิร์ค ให้มีความเคลื่อนไหวสูงๆ ไปเน้นพวกแบบนี้ ทำให้ระบบต้องล่ม แต่แนวแฮก ข้อมูลในการดิส IT Digest : บริษัท มีการรับมือภัยคุกคามบนโซลูชั่นอย่างไรบ้าง กาญจนา : ถ้าพูดถึงโซลูชั่นของออราเคิล บริษัทลันอยู่บนแฟลตฟอร์ม ที่รักษาความปลอดภัยสูงมาก อย่างถ้าทำงานบนระบบปฏิบัติการ หรือระบบยูนิกซ์ไวรัสแบบนี้ไม่ต้องพูดถึง เพราะเข้าไม่ได้อยู่แล้ว และมีเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย บนดาต้าเบสของโซลูชั่นอยู่แล้ว ในเรื่องของการแฮกข้อมูล ถ้าโซลูชั่นสนับสนุน ตั้งเครื่องไว้เลยแล้วให้คนแฮกเลย เพื่อรับรองว่ามีคุณภาพ IT Digest : วิกฤตเศรษฐกิจ กระทบต่อภาพรวมของบริษัทมากน้อยแค่ไหน กาญจนา : กระทบ เพราะว่าการที่ลูกค้า จะลงทุนอะไร ต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น และจะลงทุนเฉพาะเรื่องที่มีความจำเป็นเท่านั้น แต่ยังตั้งเป้าโต เพราะบริษัทยังมีงานอยู่ในมือ และบริษัท มองธุรกิจเข้าไปต่อยอด และมองถึงการลงทุนของกลุ่มลูกค้าที่จำเป็น และถ้าลูกค้าจะลงทุนในสิ่งที่จำเป็น บริษัทก็จะเสนอเฉพาะสิ่งที่จำเป็นให้ รวมถึงจะเน้นและเข้าไปมองว่าธุรกิจไหน ที่ลูกค้ามีความจำเป็นต้องเพิ่มเติม ก็ควรจะทำ โดยเฉพาะเรื่องไซต์งาน ถ้าคุณทำแล้วได้ผลระยะยาว แล้วยิ่งทุกวันนี้หลายบริษัทต้องเก็บรักษาคน และเพิ่มไม่ได้ แต่ต้องการให้คนมีประสิทธิภาพมากขึ้น IT Digest : ขณะที่หลายบริษัท คัดคนออก ตามนโยบายของบริษัทเป็นไปในทิศทางใด กาญจนา : ในโรงงานผลิต ถ้าต้องซัพพลายของให้กับลูกค้า แล้วลูกค้าดีมานลดลง ยังไงก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง วิธีใดวิธีหนึ่ง แล้วเรื่องของการเลออฟคน เป็นมาตรการแรกที่เห็นว่า คนเริ่มไม่มีงานทำ เริ่มมองว่าเรื่องคอร์สเป็นเรื่องที่เห็นผลชัด แต่ขึ้นอยู่กับการจัดการ โดยส่วนตัวมองว่าบางอุตสาหกรรมต้องลดคนขณะที่ธุรกิจบางอย่างต้องเพิ่มคน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มีลูกค้าอยู่ 1 ราย เจอสถานการณ์วิกฤต อุปสงค์ลดลง ธุรกิจไก่ ตอนที่มีไข้หวัดนก ใช้วิธีว่าธุรกิจไก่ไม่ดี ธุรกิจสับปะรด ยังดีอยู่ และก็มีคู่ค้า จึงนำคนของเขาไปให้แรงงานสับปะรดใช้ หลังจากนั้น พอแรงงานดีขึ้นก็เอากลับคืนมา ถือว่าเป็นการช่วยเหลือ คนก็ไม่ต้องหางานใหม่ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมจะมีบางธุรกิจที่มีการลงทุนเพื่อสร้างงบประมาณ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองภาพรวมจริงๆ แล้วจะมีบางธุรกิจที่ไม่มีคนทำงาน แต่บางธุรกิจ คนเยอะมาก แต่ความสบายของงานและลักษณะงานต่างกัน ก็ต้องฝึกฝน และพยายาม ถือเป็นความสมดุลของคน เพราะถ้าให้คนออก คนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ไปไหน แต่ก็ทำแบบรู้เพื่อช่วยพคนมากกว่า ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นตามบริษัทในประเทศไทยจะคิดแบบนี้แต่ถ้าเป็นบริษัทระดับต่างชาติ จะมองอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้ ส่วนใหญ่คนที่จ้างออก จะเป็น บ้านเขา มีผลกระทบมา แต่ถ้าเป็นธุรกิจของคนไทย ที่บาดเจ็บมาตั้งแต่ปี 2540 ไม่ได้กู้เงินจากต่างประเทศ ณ วันนี้คงไม่บาดเจ็บเท่าไร และบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ การแข่งขันกันเองในประเทศเป็นเรื่องที่สูงมาก ขณะเดียวกัน ถ้าเทียบกับประเทศไทยแล้ว ถือว่าประเทศไทย ยังมีความเสียเปรียบอยู่ คนของประเทศไทยแพงกว่าประเทศเวียดนาม เพราะฉะนั้นต้องหาคุณภาพของประเทศไทย เพื่อไปทำให้เข้ากัน ไม่อย่างนั้นจะเสียเปรียบกว่า IT Digest : ฝากอะไร ถึงผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์บ้าง กาญจนา : ถ้ามองถึงทิศทางยังมองว่า บริษัทยังดำเนินการทางธุรกิจได้อยู่ ในประเทศไทยและยังมีอีกหลายอย่างที่ยังต้องพัฒนาในองค์กรต่างๆ น่าจะเริ่มกลับมาและมองตัวเองว่า ตรงไหน คือส่วนที่ต้องพัฒนาประสิทธิภาพ ไม่อยากให้มองเฉพาะการลดคอร์สอย่างเดียว แต่อยากให้มองถึงการเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า ตรงนั้นจะเป็นตัวที่ช่วยทำให้ในระยะยาวแล้ว บริษัทจะอยู่รอดได้ด้วยความมั่นคง เพราะบริษัทมีโซลูชั่นตรงนี้ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น