"เชิญชวนทุกท่านร่วมสร้างสรรค์กฎหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน"

ฉันไม่ชอบกฎหมาย
Bookmark and Share
Blognone

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

ปัญหาการเข้าถึงสิทธิของคนงานที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงาน ตามกฎหมาย พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537





ปัญหาการเข้าถึงสิทธิของคนงานที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงาน ตามกฎหมาย พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
โดย : คุณสมบุญ สีคำดอกแค   เมื่อ : 20/04/2009 11:29 AM
ทำไมต้องมาพูดกันถึงปัญหาการเข้าถึงสิทธิ !!!!!

ตามกฏหมายพรบ.เงินทดแทน ปี พ.ศ. 2537 ซึ่งใช้มา 15 ปีกว่าแล้ว แต่ตัวเลขและ สถิติของคนงานที่เจ็บป่วยและประสบอันตรายจากการทำงาน ที่มีถึงปีละ 200,000 คน ที่คนงานต้องประสบอันตราย สูญเสีย แต่ผู้ใช้แรงงานอีกมากมาย ต้องเจ็บป่วยเรื้อรัง สูญเสีย สุขภาพ หรือตายฟรี ยังมีอีกมากมาย เช่น
ประกาศเรื่องโรค จากปี 37-50 มี 32 โรคปัจจุบัน มี 80 โรค แสดงว่าสถานการณ์มีความวิกฤตรุนแรงมากขึ้น กรณี ..

- แขนขาด มือขาด เท้าขาด นิ้วขาด สูญเสียการมองเห็น สูญเสียสมรรถภาพ หรือเสียชีวิต เนื่องจากการทำงาน
- แต่ ..ความเจ็บป่วยเรื้อรัง จากสารเคมี ฝุ่นละออง ในที่ทำงาน หรือ..การทำงานด้วยความรีบเร่งการผลิต ท่าทางซ้ำซาก จน กล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
ความผิดปกติของความรู้สึกตัวและจิตฟั่นเฟือนเป็นเหตุให้ไม่สามารถทำงานได้หรือวิกลจริต เนื่องจากการทำงาน

คนงานเจ็บป่วยและการประสบอันตรายจากการทำงานแต่กลับยังไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ ไม่ได้รับสิทธิ ตาม พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 เพราะหลายปัจจัย

(1) ปัญหาที่ตัวของคนงาน
  • ไม่รู้สิทธิ ข้อกฎหมาย พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
  • โทษเวร โทษกรรม ใจไม่สู้ ท้อ ขาดกำลังใจ
  • กลัวนายจ้าง (เพราะคิดว่ามีบุญคุณ) และกลัวถูกปลด
  • ถูกบังคับทำงานในที่เสี่ยงภัย เพราะขัดขืนไม่ได้เพราะเป็นอำนาจสั่งการของหัวหน้างาน
  • เข้าไม่ถึงข้อมูลรอบด้าน เพราะต้องทำงานอยู่ในโรงงานอย่างน้อยวันละ 8-12 ชั่วโมง
  • กลัวสัมพันธภาพเปลี่ยนไประหว่างตนเองกับหัวหน้างาน กับฝ่ายนายจ้าง
  • เมื่อไปถึงโรงพยาบาลไม่ได้บอกเกี่ยวกับสาเหตุของการการเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายที่สัมพันธ์กับลักษณะการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน อย่างละเอียดและชัดเจน
  • ถูกบีบให้ออกเพราะทำงานไม่ไหว เพราะถูกมองว่าเป็นแรงงานไร้ประสิทธิภาพ
(2) ปัญหาที่ตัวโรงงานหรือ สถานประกอบการ
  • ปิดบังไม่ให้คนงานรู้ข้อกฎหมายพรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักแต่ประกันสังคม
  • ละเลย ไม่ปรับปรุงเครื่องจักร หรือ ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสมและถูกต้อง
  • เร่งการผลิต ลดจำนวนคน ทำให้คนงาน 1 คน ต้องทำงาน มีหน้าที่หลายอย่าง ในระยะเวลาที่ควบคมตามเป้าที่กำหนด
  • การกำหนดระเบียบข้อบังคับในการให้โบนัส เบี้ยขยันวันหยุดวันลา ห้ามให้มิให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นสถิติของแต่ละบุคคลหรือแผนก ถ้าเกิดขึ้นก็จะไม่ได้รับตามที่บริษัทกำหนด
  • ปลด หรือเลิกจ้างคนงานเพราะมองว่าเป็นแรงงานไร้ประสิทธิภาพ
  • ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนงานที่เป็นผู้ถูกผลกระทบจากการเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงานอย่างเห็นค่าความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้สร้างผลผลิตและรายได้ให้กับสถานประกอบการ (จึงถูกปฎิเสธจากนายจ้าง)
  • ไม่แจ้งเรื่องภายใน 15 วัน / หรือรู้แต่ไม่แจ้งเพราะกลัวเสียชื่อบริษัท กลัวส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้น ถ้าไม่แจ้งตัวกฎหมายที่ลงโทษมีเพียงแค่ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน (แต่ประศาสตร์ที่ผ่านมา 15 ปี ไม่เคยมีการจำคุกนายจ้างเลย) จึงผลักคนงานที่ได้รับผลกระทบจากการเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงานไปใช้สิทธิประกันสังคม จะได้เป็นการเจ็บป่วยนอกงาน จึงทำให้ไม่มีสถิตข้อมูล ในบริษัท และส่งผลให้ภาครัฐเองก็มีไม่ข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของคนงาน
  • การตรวจสุขภาพประจำปีของคนงาน ไม่ได้ตรวจตามปัจจัยเสี่ยง (อาทิ คนงานทำงานเกี่ยวกับสารเคมีตัวนี้ แต่กลับไปตรวจหาสารตัวนั้น คนละตัว ตรวจยังไงก็หาไม่เจอ หรือเช่นการตรวจสุขภาพคนงานที่เกี่ยวกับฝุ่นต่างๆ แต่ใช้ฟิล์มเล็ก ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัยโรค ควรใช้เป็นฟิล์มใหญ่เป็นต้น) รวมทั้งแพทย์ที่มาตรวจก็ไม่ได้เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
(3) ปัญหาที่กระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาพยาบาล (แพทย์ คลินิก โรงพยาบาล)
  • กระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคจากการทำงาน ยังเป็นเกณฑ์ที่กองทุนเงินทดแทนเป็นผู้ออกระเบียบโดยแบบไม่มีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
  • แพทย์ไม่ระบุคำวินิจฉัยว่าเป็นโรค.. การประสบอันตราย... จากการทำงาน ในใบรับรองแพทย์ .... ทำให้แพทย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าระบุ..เพียงแค่ระบุตามอาการเพียงเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่กลัวเป็นปัญหาการขึ้นโรงขึ้นศาล
  • แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมีน้อยมาก และเข้าใจหัวอกของคนงานยิ่งมีน้อย
  • คลินิกโรคจากการทำงาน ยังเป็นโครงการนำร่องพึ่งตั้งมาได้ 2-3 ปี (ส่วนจะมีแพทย์ฝึกหัดมาตรวจ)
  • ระบบการทำงานของคลินิกยังเปิดทำการ ครึ่งวัน และเป็นระบบงานฝาก ไม่ทำงานเต็มเวลา
  • มีคลินิกที่ที่เชี่ยวชาญสูงสุดเพียง 1 คลินิกคือที่โรงพยาบาล
  • ยังไม่มีระบบการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้แรงงาน ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงว่าปัจจุบันมีคลินิกโรคจากการทำงาน จำนวน 25 แห่ง ซึ่งสามารถเข้าตรวจวินิจฉัยโรคจากการทำงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • ค่าตรวจวินิจฉัยโรคจากการทำงานต่อหัวต่อคนมีวงเงินจำนวนจำกัด ของแต่ละคลินิกทั้ง 25 แห่ง
  • เกณฑ์การวินิจฉัยโรคจากการทำงานยังไม่เป็นที่เปิดเผย
  • ไม่มีกฎหมายในการคุ้มครองแพทย์ที่ระบุคำวินิจฉัยในใบรับแพทย์ให้กับคนงานว่าเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงานหากถูกฟ้องกลับ เพราะเคยมีตัวอย่างที่ผ่านมาจึงส่งผลให้แพทย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะวินิจฉัยโรคจากการทำงานให้กับคนงาน ทำให้ส่งผลเป็นเรื่องเกี่ยวกับทัศนคติระหว่างแพทย์กับคนงาน
  • ไม่มีนโยบายของกระทรวง กรม หรือการจูงใจให้นิสิตนักศึกษา มาเรียนแพทย์อาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมทางด้านนี้ และมีระบบรองรับที่ดี อาทิ ตำแหน่ง และค่าตอบแทน ให้ทัดเทียมกับแพทย์สาขาอื่น เพราะแพทย์ด้านนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคน 9-10 ล้านคน
(4) ปัญหาที่กฎหมายพรบ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 และ (ผู้บังคับใช้กฎหมาย)
  • กองทุนเงินทดแทน ออกระเบียบ หรือเกณฑ์การเข้าถึงสิทธิเองโดยไม่มีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
  • กรณีคนงานที่ป่วยและประสบอันตรายจากการทำงาน ส่วนใหญ่ถูกปฎิเสธจากกองทุนเงินทดแทน ได้รับการวินิจฉัยว่าไม่ได้เจ็บป่วยสืบเนื่องจากการทำงาน จึงไม่ได้รับสิทธิ์การรักษาพยาบาล และค่าทดแทนการลาหยุดงานเกิน 3 วัน 60%เป็นเวลา 1 ปี ค่าทดแทนการสูญเสียอวัยวะ สูญเสียสมรรถภาพร่างกาย จึงเข้าสู่ระบบการอุทธรณ์ (ภายใน 30 วัน) การฟ้องศาล (ภายใน 30 วัน) ต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 2-4 ปี เป็นอย่างน้อย กว่าจะเข้าถึงสิทธิ์
  • หากนายจ้างรู้ว่าคนงานประสบอันตรายจากการทำงานบาดเจ็บหรือล้มตาย หากไม่แจ้งภายใน 15 วัน จนท.ปฏิบัติการต้องบังคับใช้กฎหมายเอาผิดกับนายจ้าง ต้องทำเรื่องปรับหรือฟ้องคดีเอาผิดกับนายจ้างโทษที่ไม่ทำตามกฎหมาย เพื่อเป็นต้นแบบที่ดี
  • บทกำหนดโทษที่เอาผิดนายจ้างมีความรุนแรงเบาเกินไป จึงทำให้ฝ่ายนายจ้างไม่ทำตามบทบัญญัติของกฎหมาย
  • เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน ทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง ยังคงคิดและมีทัศนคติว่ากองทุนเงินทดแทนที่มีอยู่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท เป็นเงินของนายจ้าง จริงอยู่เป็นเงินสบทบเพียงฝ่ายเดียวของนายจ้าง แต่เจตนารมณ์ของกฎหมาย พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 นั้นให้กองทุนนี้เป็นกองทุนที่มาชดเชยจากการสุญเสียสุขภาพร่างกายและจิตใจให้กับคนงานที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงาน ในสถานประกอบการที่ทำงานให้กับนายจ้าง แล้วจะเป็นเงินของนายจ้างได้อย่างไร มันเงินกองทุนในอนาคตจากการสุญเสียสุขภาพของลูกจ้าง
  • คณะกรรมแพทย์การกองทุนเงินทดแทน ส่วนใหญ่ไม่มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านอาชีวเวชศาสตร์ร่วมอยู่ด้วยในคณะกรรมการ..
  • คณะกรรมแพทย์การกองทุนเงินทดแทนยังมีอำนาจในการให้คุณให้โทษกับวินิจฉัยและตัดสินใจให้คนงานเข้าถึงสิทธิได้หรือไม่ และยังรวมทั้งยังมีอำนาจในการออกเกณฑ์ค่าทดแทนจากการสูญเสียสมรรถภาพของร่างกาย เพื่อที่จะรักษากองทุนนี้ไว้ให้เติบโต ส่วนใหญ่จึงทำให้คนงานเข้าไม่ถึงสิทธิ
  • การบังคับใช้กฎหมายตามพรบ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 ให้นายจริงจังกว่านี้เพื่อที่จะให้นายจ้างเคารพและเข้าสู่ระบบที่ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิให้กับคนงาน
(5) ปัญหาที่ระดับนโยบายของภาครัฐ
  • รัฐเองไม่มีนโยบายติดตามกำกับ ในการบังใช้กฎหมายอย่างจริงและชัดเจน ทำให้เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ เกรงใจฝ่ายนาย หรือ เจ้าของสถานประกอบการ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กับฝ่ายนายจ้างมีอะไรกันหรือป่าว เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับเรื่องจะไม่ค่อยอำนวยความสะดวกให้กับลูกจ้างที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงาน อาทิ เมื่อลูกจ้างเกิดเหตุ นายจ้างไม่ทำเรื่องส่งภายใน 15 วัน แต่ลูกมีสิทธิส่งเรื่องด้วยตนเองภายใน 180 วัน พอลูกจ้างไปยื่นเรื่อง เจ้าหน้าที่บอกว่าแล้วนายจ้างรู้หรือยัง ต้องให้นายจ้างเซ็นต์เรื่องมาก่อน แต่ที่จริงเจ้าหน้าที่ต้องรับเรื่องและเอาไปให้นายเซ็นต์รับรอง แต่ถ้านายจ้างไม่เซ็นต์รับรองในใบขอยื่นใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทน (ใบ กท.16) เจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจทำเรื่องส่งหารือคณะกรรมการแพทย์กองทุนเงินทดแทน ได้เลยเพราะเนื่องจากแจ้งให้นายจ้างทราบแล้วแต่นายจ้างไม่ทำตาม และปัจจุบันเจ้าหน้าที่ก็ยังดึงเรื่องไว้ ไม่ยอมส่งเรื่องต่อ ไม่ใช้อำนาจที่มีอยู่ ทำให้ลูกจ้างถูกละเลยจากเจ้าหน้าของรัฐทำให้สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย
แล้วจะทำอย่างไร ถึงจะเข้าถึงสิทธิ พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
  • เมื่อป่วย-อุบัติเหตุ
  • เจ็บป่วยสืบเนื่องจากการทำงาน
  • แจ้งหัวหน้างานทันที
  • พาไปห้องแพทย์แล้วลงบันทึกประจำวันไว้โดยมีพยานและหัวหน้างานเซ็นชื่อรับทราบ
  • ส่งตัวไปรับการรักษาที่ รพ.ตามสิทธิประกันสังคม หรือ รพ.ที่มีคลีนิคแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ฯ
  • ให้ทำบัตร
  • พบแพทย์-แพทย์วินิจฉัย-ออกใบรับรองแพทย์ให้-ระบุว่าเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากกาทำงาน
  • ถ่ายสำเนาใบรับรองแพทย์-สำเนาใบเสร็จค่ายา
  • ยื่นหัวหน้างาน-กรอกแบบฟอร์ม กท.16 เพื่อนายจ้างจะได้ดำเนินการส่งเรื่องเข้ากองทุนภายใน 15 วัน
  • หยุดพักรักษาตัวตามใบรับรองแพทย์
  • เมื่อครบกำหนด-หากดีขึ้นหรือ หายกลับเข้าทำงาน
  • หากยังเจ็บ-ป่วยพบแพทย์ขอใบรับรองแพทย์ลาหยุดงานต่อเพราะมีสิทธิลาหยุดโดยได้รับค่าจ้างเป็นค่าทดแทนการหยุดงาน 60% ของค่าจ้าง เป็นระยะเวลา 1 ปี
  • หากนายจ้างไม่ยื่นเรื่องเข้ากองทุนภายใน 15 วัน
  • ข้อสำคัญ คือรัฐต้องมีนโยบาย
สิทธิที่ลูกจ้างพึงมีพึงได้ตามกฎหมายพรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537
  • ลูกจ้างมีสิทธิยื่นเรื่องที่กองทุนเงินทดแทนเขตพื้นที่ภายใน 180 วัน
  • แจ้งเรื่องการเจ็บป่วย-ประสบอันตรายต่อคณะกรรมการสหภาพ-คปอ.- จป.
  • แจ้งสภาเครือข่ายฯ -โดยตัวคนป่วย - ผู้นำสหภาพแรงงาน
  • สมัครเป็นสมาชิกสภาเครือข่ายฯ - สภาเครือข่ายฯ สอบข้อเท็จจริง
  • ประสานกรมสวัสดิการฯ ให้ดำเนินการตรวจสอบสถานประกอบการ
  • ประสานสำนักงานกองทุนเงินทดแทน
  • รอผลการวินิจฉัย
  • ถ้าผลการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงานก็รับสิทธิ์
  • ค่ายาค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง-ค่าทดแทน 60% เท่าที่หยุดจริงเป็นระยะเวลา ได้ 1 ปี
  • ถ้าวินิจฉัยว่าไม่ได้เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงานก็ต้องอุทธรณ์
การอุทธรณ์ ก็คือ นำข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ลงไปกรอกแบบฟอร์มอุทธรณ์ที่สำนักงาน กองทุนเงินทดแทนในเขตพื้นที่ใกล้ที่ทำงาน
รอผล ถ้าผลอุทธรณ์กลับมาว่าเจ็บเนื่องจากการทำงาน ก็มีสิทธิตามกฎหมาย ได้สิทธิก็รับเงินค่าทดแทนค่ายามีสิทธิรับเงินทดแทนการลาหยุดพักรักษาตัวตามใบแพทย์กำหนด (แพทย์สั่ง)

ฟ้องศาล หากผลอุทธรณ์ออกมาไม่ได้รับสิทธิ์ หรือว่าการป่วยประสบอันตรายไม่เนื่องจากการทำงาน ลูกจ้างต้องฟ้องศาลภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับผลอุทธรณ์คำวินิจฉัยของกองทุนเงินทดแทน

กรณีสงสัยว่าลูกจ้างเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน แต่ไม่มีผลการวินิจฉัยโรคที่ชัดเจน สามารถแจ้งการประสบอันตรายได้ ณ สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ จังหวัด/สาขา ที่ลูกจ้างประจำทำงานอยู่เพื่อให้สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ จังหวัด/สาขา ส่งตัวลูกจ้างไปรับการตรวจวินิจฉัยที่คลินิกโรคจากการทำงาน ซึ่งกองทุนเงินทดแทนได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ในการตั้งคลินิก เพื่อ ตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจากการทำงานให้แก่ลูกจ้าง โดยแบ่งคลินิกโรจจากการทำงานเป็น 2 ระดับ คือ
  1. ระดับทุติยภูมิ โดยในปี 2551 ได้จัดตั้งคลินิกโรคจากการทำงานในโรงพยาบาลนำร่องสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 24 แห่ง ได้แก่
    1.1 โรงพยาบาลสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
    1.2 โรงพยาบาลราชบุรี จ.ราชบุรี
    1.3 โรงพยาบาลนครพิงค์เชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
    1.4 โรงพยาบาลลำปาง จ.ลำปาง
    1.5 โรงพยาบาลขอนแก่น จ.ขอนแก่น
    1.6 โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา
    1.7 โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์
    1.8 โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี
    1.9 โรงพยาบาลชลบุรี จ.ชลบุรี
    1.10 โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย
    1.11 โรงพยาบาลพระพุธชินราช จ.พิษณุโลก
    1.12 โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์
    1.13 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
    1.14 โรงพยาบาลสุรินทร์ จ.สุรินทร์
    1.15 โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง
    1.16 โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี
    1.17 โรงพยาบาลพระยาอภัยภูเบศร์ จ.ปราจีนบุรี
    1.18 โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
    1.19 โรงพยาบาลสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
    1.20 โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี
    1.21 โรงพยาบาลสุราษฏร์ธานี จ.สุราษฏร์ธานี
    1.22 โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จ.ภูเก็ต
    1.23 โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา
    1.24 โรงพยาบาลอุดรธานี จ.อุดรธานี
  2. ระดับตติยภูมิ จัดตั้งคลินิกโรคจากการทำงานที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์

    ลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรค ณ คลินิกโรคจากการทำงาน โดยการส่งตัวของสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ จังหวัด/สาขา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิตฉันแต่อย่างใดแม้ผลการตรวจจะปรากฏว่าไม่เจ็บป่วยจากการทำงาน และหากตรวจพบว่าเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานนายจ้างสามารถยื่น กท.44 เพื่อส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่เปิดบริการคลินิกโรคจากการทำงานได้ต่อไป

สิทธิจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

กระบวนการเข้าถึงสิทธิ์

1.) เจ้าตัวต้องรู้ต้องกล้าต้องสู้
2.) ยื่นเรื่องขอใช้สิทธิกองทุนเงินทดแทน (จะต้องมีข้อมูลข้อเท็จจริง)
3.) รวมตัวกันเป็นกลุ่มสามัคคี
4.) เมื่อเจ็บป่วยหรือประสบปัญหา ร่วมเจรจา กับนายจ้าง
5.) สร้างความเข้าใจให้แก่พรรคพวกเพื่อนพ้องให้เข้าใจปัญหา
6.) ต่อรองด้วยการทำอะไรที่พักพร้อมกัน
7.) หาตัวช่วย ที่ปรึกษา องค์กรพันธมิตร สื่อมวลชน
8.) สร้าง-ประสาน เครือข่าย
9.) ติดตามการแก้ไขปัญหา
10.) มาตรการแก้ไขปัญหาทางออกร่วมกัน
11.) ร้องเรียนร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
12.) ดำเนินการทางกฎหมาย
13.) ไกล่เกลี่ย
14.) ดำเนินคดีตามขบวนการศาลจนสิ้นสุดคดีความ

สรุปการอภิปรายวันนี้ซึ่งดิฉันคิดว่า การผลักดัน ร่างพรบ.สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงเป็นการหาแนวทางออก เรื่องสุขภาพความปลอดภัยที่สำคัญในปัจจุบัน เพราะจะได้ปฎิรูประบบสุขภาพความปลอดภัยแบบมีส่วนร่วม และเน้นการป้องกัน

ดั่งคำพระท่านว่า "คนที่มีหน้าที่ช่วยชีวิตคน หากทำจะเกิดผลบุญอนันต์ หากละเลยไม่ทำ จะบาปอย่างมหันต์"

สุขภาพดี คือ ชีวิตที่มั่นคง ความปลอดภัย คือ หัวใจของการทำงาน

หมายเหตุ
  1. โดย ..คุณสมบุญ สีคำดอกแค ได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการเข้าถึงสิทธิ ตามกฎหมายพรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 จากเวทีเสวนา "ปัญหาการเข้าถึงสิทธิของคนงานที่เจ็บป่วยหรือประสบอันตรายจากการทำงาน ตามกฎหมาย พรบ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537" วันที่ 5 เมษายน 2552 ณ โรงแรมโรสการ์เด้นท์ สวนสามพราน จังหวัดนครปฐม จัดโดยโครงการสร้างความเข้มแข็งขบวนการผู้ใช้แรงงาน
  2. ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ปัญหาสุขภาพความปลอดภัยและการเข้าถึงสิทธิของคนงาน
    สภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
    เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 02-9512710, 029513037
http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=1167

Windows Live™ SkyDrive™: Get 25 GB of free online storage. Check it out.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม

คลังบทความของบล็อก

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
ข่าวสาร ข้อมูล ทุกด้านต้องรับฟัง ไม่เชื่อสิ่งที่เห็น ฟังข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว ต้องรู้เท่าทันในการรับรู้ข่าวสารจากทุกแหล่งข่าว FACT - Freedom Against Censorship Thailand กลุ่มเสรีภาพต่อต้านการเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทย http://facthai.wordpress.com/ http://twitter.com/jiew ● ปรึกษาปัญหากฏหมาย ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์ ปัญหาติดต่อราชการ ฟรี ● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล, ● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work สำนักพิมพ์ดาวหาง www.sanamluang.bloggang.com สนใจติดต่อสอบถาม workingmailhome@hotmail.com